วิกฤตหนี้สินของบริษัท China Evergrande Group บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีน กำลังสร้างความสั่นคลอนต่อสเถียรภาพของเศรษฐกิจจีนที่มีขนาดใหญ่เป็นเบอร์ 2 ของโลก หลังบริษัทขยายอาณาจักรการทำธุรกิจเพื่อสร้างความมั่งคั่งมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะเป็นผู้นำด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบครอบโครงการมากกว่า 1,300 โครงการและครอบคลุมพื้นที่กว่า 280 เมืองแล้ว บริษัทยังมีการลงทุนในธุรกิจด้านรถไฟฟ้า, สื่อสาร, อาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งสโมสรฟุตบอล ซึ่งเงินทุนส่วนใหญ่นั้นมาจากการกู้ยืมอย่างมหาศาล ตั้งแต่การกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินมาจนถึงนักลงทุนรายย่อย เป็นสาเหตุนำมาซึ่งวิกฤตหนี้สินของบริษัทในปัจจุบัน

จากข้อมูลพบว่าบริษัท China Evergrande Group นั้นมีหนี้สินรวมกว่า 356,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 2% ของ GDP จีน ท่ามกลางปัญหาการขาดแคลนสภาพคล่อง ส่งผลให้บริษัทถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่องโดย Fitch Ratings และ S&P Global Ratings ได้ปรับลดความน่าเชื่อถือสู่ระดับ CC หมายความว่าบริษัทมีความเสี่ยงสูงสุดที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ผลกระทบต่อตลาดหุ้นจากประเด็นดังกล่าวส่งผลให้ดัชนี Hang Seng เปิดต้นสัปดาห์มาปรับตัวลดลงในวันเดียวถึง 3.30% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ค. ขณะที่ Hang Seng Property Index ปรับตัวลงถึง 6.7% ถือเป็นการปรับตัวลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. ปี 2020 สาเหตุส่วนนึงมาจากความกังวลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท China Evergrande Group โดยในวันที่ 23 ก.ย. นี้ บริษัท China Evergrande Group มีกำหนดที่จะต้องชำระดอกเบี้ยมูลค่าราว 83.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับหุ้นกู้ที่ออกในต่างประเทศและดอกเบี้ยอีกราว 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับหุ้นกู้ในประเทศ ซึ่งหากบริษัทไม่สามารถชำระดอกเบี้ยได้ภายใน 30 วันจากกรอบเวลาดังกล่าวจะส่งผลให้บริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ (Default)

ขณะที่มีความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางจีน (PBOC) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยทาง PBOC ได้มีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบจำนวน 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. ปีนี้ ซึ่งเป้าหมายส่วนนึงเป็นไปเพื่อลดการตึงตัวของสภาพคล่องในระบบ หลังเกิดปัญหาของบริษัท China Evergrande Group

จึงเป็นที่น่าติดตามว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบรุนแรงเป็นวงกว้างมากน้อยแค่ไหน และรัฐบาลจีนจะมีการออกมาตรช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนี้หรือไม่ ขณะที่ในส่วนของนักลงทุนนั้นอาจจะต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนในภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประเทศจีนมากขึ้นเพื่อรอดูความชัดเจนในช่วงหลังจากนี้

Source: Bloomberg